ไม่ว่าจะในเชิงส่วนตัวหรือเชิงธุรกิจก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่าการสร้างเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกขึ้นมานั้น เป้าหมายก็เพื่อต้องการให้คนรู้จักเรา ผ่านทางการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่างๆที่เราใส่ลงไปในเว็บไซต์ การเพิ่ม Traffic ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์
• คนเข้าเว็บยิ่งมาก โอกาสที่คุณจะเป็นที่รู้จักก็มาก
• เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการต่างๆ
• เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้
ซึ่งการที่มี คนเข้าเยี่ยมชมเว็บ นี้เอง เราเรียกกันว่า Website Traffic …. จบ!
ช้าก่อน … ถ้าจบสั้นๆแค่นี้ผมคงโดนบ่นแย่ (เขียนยาวก็มีคนบ่น สั้นไปก็อาจโดนบ่น 555+) ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับเรื่องของ เว็บทราฟฟิค มันมีอะไรมากกว่านั้นที่คุณจำเป็นต้องรู้ และวันนี้ผมจะขอมาอธิบายให้ได้เข้าใจกันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วกับมือใหม่ทั้งหลาย
Website Traffic คืออะไร ?
อย่างที่เกริ่นไปแล้วในตอนแรก Website Traffic ก็คือ การที่คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรานั่นเอง หลายคนอาจจะคิดว่ามันคือ “จำนวนคนเข้าเว็บ” ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันยังนับรวมไปถึง “จำนวนหน้าที่คลิก” และ “ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บ” ของคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราด้วย
ดังนั้นหากเราพูดถึง การเพิ่มหรือการหา Traffic ให้กับเว็บไซต์/บล็อก จึงควรพิจารณาที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ
1. จำนวนคนเข้าเยี่ยมชมเว็บ
2. จำนวนหน้าเพจที่คนคลิก
3. ระยะเวลาที่คนอยู่บนเว็บ
เมื่อดูจากปัจจัย 3 อย่างข้างต้น เราจะพบได้ว่า Traffic ที่ดีที่สุด จึงควรจะเป็น Traffic ที่เรียกว่า “Engaged Traffic” หมายถึง จำนวนคนเข้าเยี่ยมชมเว็บที่มีปฎิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของเรา คือมีการอ่าน! มีการคลิก มีการคอมเม้นท์ มีการใช้ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ของเราพอสมควร
มันคงไม่ดีแน่ … ถ้า มีหากคนเข้าเว็บของคุณ แล้วกด Back หรือ ปิด Browser ทันที ภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที
(ลักษณะของการกระทำในลักษณะนี้ เรียกว่า “Bounce Rate” หรือ “อัตราตีกลับ”)
ค่า Bounce Rate นี่เองถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการชี้วัด “คุณภาพของเว็บไซต์” รวมไปถึง “คุณภาพของ Content” ซึ่งมันมีผลต่อการทำ SEO ในกลุ่มของปัจจัยที่ Google เรียกมันว่า “User Signal” หรือ “Dwell time” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ
1. Click Through Rate (CTR)
2. Time on Site (Session duration)
3. Bounce Rate
คำอธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ขอเก็บไปไว้ในหัวข้อ User Signal นะครับ (ใส่รวมกันเกรงว่าจะยาวเกินไป) แต่ประเด็นที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้ มานำเสนอ เพราะต้องการสื่อให้คุณเข้าใจว่า ในเรื่องของ Web Traffic นั้น ไม่ควรจะเน้นแค่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงคุณภาพควบคู่ไปด้วย
ประเภทของ Website Traffic (Traffic Channel)
ผมเคยนึกสงสัยว่า “เฮ้ยเว็บทราฟฟิคมันมีจำแนกประเภทด้วยหรอเนี้ย ?” … หลายคนก็อาจจะนึกไม่ถึงในจุดนี้เช่นกัน
ในแง่ของคนทำเว็บ คนทำ SEO คนทำการตลาดออนไลน์ เราคงหนีไม่พ้นที่จะไม่เกี่ยวข้องกับ Google และเครื่องมือหนึ่ง ที่ใช้ในการวัดสถิติของเว็บไซต์ทราฟฟิค ตัวยอดนิยม ก็คือ Google Analytics
ซึ่งในการจัดประเภทของ Web Traffic ตาม Google Analytics จะแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น
Direct / Organic Search / Referral / Email / Paid Search / Other Advertising / Social
แต่ตัวที่ถือว่าเป็น Default Channel ที่นิยมติดตามกัน จะมีอยู่ 4 ประเภท คือ
1. Organic Search
2. Social
3. Direct
4. Referral
ภาพด้านบน คือ ภาพจาก Google Analytics ของเว่อร์ชั่นใหม่ (Social Channel พึ่งจะถูกเพิ่มเข้ามาใหม่) โดยในอดีตเรามักจะนิยมดูกันเพียงแค่ 3 อย่าง เป็นหลัก ซึ่งจากภาพด้านล่าง เราจะพบว่า traffic ที่มาจาก facebook.com ซึ่งถือเป็น Social ตัวหนึ่ง ก็ถูกจัดอยู่ในส่วนของ Referral ด้วย
ดังนั้นแล้วหากเราจะจัดประเภทของ Web Traffic กันตามแหล่งที่มาจริงๆ เราสามารถแบ่งได้ 3 อย่างด้วยกันคือ
1. Direct Traffic – ทราฟฟิคโดยตรง
2. Referral Traffic – ทราฟฟิคจากแหล่งอ้างอิง
3. Search Engine Traffic – ทราฟฟิคจากการค้นหา
#1 – Direct Traffic
Direct Traffic คือ ประเภทของทราฟฟิคที่เข้ามายังเว็บไซต์โดยตรง ซึ่งไม่ได้มาจากเว็บไซต์อื่นๆ และไม่ได้มาจากการค้นหาบน Search Engine
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ของ Direct Traffic เช่น
– คนเข้าเว็บโดยการพิมพ์ชื่อ URL ของเว็บคุณโดยตรงในบราวเซอร์
– คนเข้าเว็บโดยการคลิกจาก Bookmark (เว็บที่เข้าบ่อยๆคนมักชอบ Bookmark ไว้)
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Email / Newsletters (Email Marketing)
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Links ในเอกสารต่างๆเช่น Word , Excel หรือ PDFs
– คนเข้าเว็บที่มาจากการ Redirect Domain (301, 302 redirects)
ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Direct Traffic
• Direct Traffic ถือว่ามีความสำคัญต่อเว็บไซต์เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณได้ Traffic ประเภทนี้ นั่นมีนัยยะว่า เว็บไซต์หรือแบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำของผู้คนแล้ว (Brand Recognition)
• Direct Traffic มีความเป็นอิสระจาก Google Algorithm (Google มันจะอัพเดทอะไร … หัวใจเราก็ไม่หวั่นไหว ^_^ )
• Direct Traffic บ่งบอกถึงความคุ้นเคยของผู้ชมต่อเว็บไซต์ของเรา (Reader Loyalty) … ผู้คนรู้แล้วว่าเว็บคุณคืออะไร ผู้คนรู้แล้วพวกเขาจะได้อะไรจากเว็บของคุณ จึงไม่จำเป็นต้อง ค้นหา หรือ ใช้แหล่งอ้างอิงอื่นๆ … (พิมพ์เว็บตรงๆเลย)
• แนวทางในการได้มาซึ่ง Direct Traffic นั้นไม่ได้ทำได้ง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา
– คุณจำเป็นต้องสร้างความเป็นมืออาชีพใน Niche ของคุณ
– คุณจำเป็นต้องรู้จัก “ให้” ในสิ่งที่ผู้คนต้องการ (ฉลาดในการนำเสนอเนื้อหา)
– คุณต้องรู้จักเลือกชื่อ Domain Name (จดจำได้ง่าย)
– คุณต้องรู้จักสร้างชุมชน สร้างฐานผู้ติดตาม (สร้างแฟนคลับ)
#2 – Referral Traffic
Referral Traffic คือ ประเภทของทราฟฟิคที่เข้ามายังเว็บไซต์ผ่านทาง “Link” จากเว็บไซต์อื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Social Media ต่างๆ (เว็บไซต์ที่ถูกนับว่าเป็นโซเชียลมีเดียทั้งหลาย)
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Backlinks ในบทความจากเว็บไซต์อื่นๆ
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Links ในส่วนอื่นๆเช่น Sidebar , Banner จากเว็บไซต์อื่นๆ
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Comments จากเว็บไซต์อื่นๆ
– คนเข้าเว็บที่มาจาก RSS Feed
– คนเข้าเว็บที่มาจาก Google Images (หน้า Search ของ Google Image ก็ถือเป็น Referral Traffic)
ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Referral Traffic
• แน่นอนว่าการได้ทราฟฟิคจากแหล่งอ้างอิงอื่น ย่อมหมายถึง การทำให้คนรู้จักแบรนด์ รู้จักเว็บไซต์เรามากยิ่งขึ้น
• Referral Traffic เป็นส่วนสำคัญ ในการทำ SEO ที่อยู่ในส่วนของการโปรโมทเว็บ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Social Media, การสร้าง Backlinks, การใช้ Blog Network, การโพสประชาสัมพันธ์ต่างๆตามเว็บไซต์ เว็บบอร์ด ฯลฯ ล้วนเพื่อให้ได้มา ซึ่ง Refferal Traffic ทั้งสิ้น …
• การมี Traffic ที่มาจากแหล่งอ้างอิงอื่นๆ ย่อมส่งผลให้ Google มองว่า เว็บไซต์ของเรานั้นเป็นที่น่าสนใจ ดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแหล่งอ้างอิงนั้น มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์เรา
• การได้มาของทราฟฟิคที่มาจากแหล่งอ้างอิงหรือ Referral Traffic นี้ จัดว่าง่ายที่สุดและก็ยากที่สุดในเวลาเดียวกัน
– ที่ว่าง่าย คือ คุณสามารถสร้างช่องทางสำหรับหา Referral Traffic ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
– ที่ว่ายาก คือ การจะถูกอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นๆ (ช่องทางที่ไม่ได้สร้างด้วยตัวเอง) ได้นั้น คุณจำเป็นต้องได้รับการยอมรับเสียก่อน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยในการที่จะทำให้ใครยอมรับคุณ หากเค้าไม่ชอบ ไม่ถูกใจ หรือไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อเขา
#3 – Search Engine Traffic
Search Engine Traffic คือ ประเภทของทราฟฟิคที่เข้ามายังเว็บไซต์ผ่านทางการค้นหาจาก Search Engine
พูดง่ายๆก็คือ การที่คนคลิกลิงค์ของเว็บที่แสดงบนหน้า Google (บน SERPs) หลังจากพิมพ์ค้นหาข้อมูลต่างๆนั่นเอง
ในส่วนของ Search Engine Traffic นั้นเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. Paid Search Traffic – ทราฟฟิคที่มาจากการเสียเงินให้กับ Search Engine (เช่น การลงโฆษณา Google Adword)
2. Unpaid Search Traffic – ทราฟฟิคแบบไม่ได้เสียเงิน ได้มาจากการจัดอันดับเว็บตามธรรมชาติ ของ Search Engine
ทุกวันนี้ ที่เราทำ SEO ให้กับเว็บไซต์กัน ก็เพื่อหา Traffic แบบ Unpaid Search Traffic นั่นเอง ซึ่งใน Google Analytics จะเรียก Traffic ประเภทนี้ว่า “Organic Search” … และบางครั้งเราก็อาจจะได้ยินคนทำ SEO เรียกมันว่า “SEO Traffic”
ข้อควรรู้เกี่ยวกับ SEO Traffic (Organic Search)
• Organic Search Traffic ไม่ได้หามาได้แบบง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา ต้องอาศัยความทุ่มเท
• คุณจำเป็นต้องทำ SEO เพื่อหาทราฟฟิคจาก Organic Search
• ผลจากทราฟฟิคที่มาจากการค้นหา ถือเป็นทราฟฟิคที่มีคุณภาพและศักยภาพสูง
– ในเชิงการตลาด Traffic ที่มาจาก Organic Search ถือว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
– ในเชิงธุรกิจ Traffic ที่มาจาก Organic Search ถือเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องการมากที่สุด เพราะคนที่เข้าเว็บมาจากการค้นหา (Google) มีแนวโน้มสูงที่จะกลายมาเป็นลูกค้าได้มากกว่าทางอื่นๆ
• SEO Traffic หรือ Traffic ที่มาจากการค้นหาโดยตรง มีผลอย่างมากต่อการจัดอันดับเว็บของ Google
บทสรุป
มีคำพูดกล่าวในภาษาอังกฤษที่ว่า “Don’t put all your eggs in one basket.”
แปลว่า “อย่าเอาไข่ทั้งหมดของคุณใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน”
ความหมายก็คือ อย่าไปหวังพึ่งพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว เพราะหากผิดพลาดขึ้นมา ทุกอย่างมันจะสูญหมด
เช่น การใส่ไข่ ไว้ในตะกร้าใบเดียว … ไข่มันอาจจะแตกหมด หากคุณทำตะกร้าใบนั้นตกหล่น
การหา Traffic เพิ่มคนเข้าเว็บไซต์ ก็เช่นเดียว …
ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ หรือเจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงคนทำ SEO จึงควรที่จะมองหาช่องทางที่หลากหลายในการหา Traffic หาคนเข้าเว็บไซต์ เราไม่ควรที่จะหวังรอผลจาก SEO หรือ หวังพึ่งพาแต่ Traffic จาก Google เพียงอย่างเดียว เพราะหากคุณทำไม่สำเร็จ ทำไม่ติดอันดับ หรือ หากทำสำเร็จแล้วแต่เกิดมีปัญหาขึ้นในภายหลัง (เช่น โดน Google ลดอันดับ, อันดับตก) มันอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่สร้างความเสียหายได้
ติดตามอ่านต่อ … กับบทความตอนที่ 2 ► “ช่องทางการหา Traffic เข้าเว็บ”
JoJho
คนทำเว็บนอกคอก